Pom Day1

เมื่อวานนนี้ 13 /11/2016 อยากเลี้ยงปอมมากเลยไปดูหมาที่ Cheeze Pom และ Hero Pom ทีแรกก็ไม่ได้คิดจะซื้อหลอกแต่ทน Damage ความน่ารักไม่ไหวตกม้าตาย

รับน้องหมามาเลี้ยงหนึ่งตัวจากฟาร์ม Hero Pom

มีหมาตัวผู้สองตัว แต่ที่เลือกตัวนี้เพราะว่ามันดูร่าเริงที่สุดในทุกตัวเลย

 

 

ตอนเย็นกลับบ้านมาก็ให้น้องกินอาหารหมา 2 ช้อน กินหมดอย่างรวจเร็วเพราะคิดว่าจะหิว ให้อาหารด้วยตัวเองตอน 2 ทุ่มครั้งแรก

 

ชื่อว่า Honey

ได้อาหารหมามาถุงหนึ่ง ผ้ากันฉี่หนึ่งใบ และกรงหิ้วหนึ่งอัน วันนั้นก็รีบวิ่งรถไปที่ร้าน Little Hart Pet อยู่ Mega Bangna โรงจอดรถ Q51 ซื้อครบ 1000 ได้ส่วนลด 3% + เป็นเมมเบอร์ฟรี ก็ได้ซื้อคอกหมา 690

มาและกระบอกน้ำ 185 ที่ฝึกฉี่ 450 บาท อาหารหมา 290 บาท Royal Canin แบบตัวเล็ก 2-10 เดือน

 

Day 2

ไปบิ๊กซีบางนา ซื้อกรง 1100 และมุ้งกันยุง 280 กับอาหาร 189 บาท

Day 3

ไป Pet Safari ที่ Paradise ซื้อของเล่นหมา 327 บาท ผ้าปูกรงแบบ non stick ไม่ติด 1600 บาท ยาอาบน้ำ 450 บาท

คิดว่าพรุ่งนี้ต้องไปซื้อ หวีของยี่ห้อ มาสเตอร์ที่ Mega Bangna อีกหนึ่งอันราคาประมาณ 1700 บาท และหาซื้อที่ให้อาหารน้องหมาอัตโนมัติเวลาที่เรากลับบ้านมาดึกอีก งบประมาณ 5000 บาท ที่เป่าลมขนาดเล็ก งบประมาณ 3000 บาทเมื่ออาบน้ำเสร็จจะได้เป่าเร็วๆ

Day 3.5

ซื้อ SmartFeeder มาจากอเมริการาคา 8000 บาท http://www.petnet.io/ ถึงไทยประมาณ ธันวา 14

15068544_1261127813908398_6848408093220938148_o

เหตุผลที่ซื้อเพราะว่ามันใช้ 1/16 size portion ได้ครับ

ปกติแล้วที่ขายในไทยมันทำไม่ได้ให้ portion ขนาด 1 tablespoon ครับ

15095562_1261128930574953_6192511877617681756_n

เดี๋ยวได้ของแล้วจะทำ Video Review ให้ดูนะครับ

เปลี่ยนใจจากยี่ห้อ Master เป็นของ Chris Christensen ทั้งหมด 12000บาท

ที่เป่าไล่น้ำน้องคิดว่าจะซื้ออันนี้ใช้ ราคา 3400บาท ซื้อจากร้านนี้ http://www.lazada.co.th/cs-2200wcs-2400-7944515.html

รวมค่าเสียหาย 185+690+450+290+1100+280+189+327+1600+450+8000+12000+3400= 28961 บาท

เท่านี้น่าจะซื้อน้องหมาได้อีกตัวเลยนะเนี่ย

Day 4

เอาหมามาเล่นที่ห้องทำงานวิ่งไปวิ่งมา น้องหมาเริ่มขับถ่ายเป็นขี้เหลวนิดๆเลยกังวลว่าจะเป็นเพราะอะไร

ถามฟาร์มแล้วเขาบอกให้เปลี่ยนจากอาหารหมาแช่น้ำเป็นอาหารหมาแข็งๆ วันต่อมาน้องก็ขี้ดีขึ้น

Day 5

วันนี้เอาหมามาเล่นด้วยแต่สังเกตุว่าเวลาน้องอยู่ห้องแอร์นานๆจะมีน้ำที่จมูก วันนี้เลยไม่เอาเข้าห้องแอร์แล้วให้อยู่ห้องที่ไม่มีแอร์แทน

Day 6

วันนี้ให้หมาอยู่บ้านสังเกตุว่าชินกับคนที่บ้านมากขึ้นแล้วและไม่ชอบอยู่ในกรง ที่ผมทำคือกั้นคอกไว้รอบๆกรงและเปิดประตูให้ออกมาเดินได้ถ้าเบื่อก็เดินกลับเข้าไปนอนในบ้านได้

ซึ่งปกติแล้วน้องจะออกมาเดินเล่นนอกกรงตอนเช้าและนอนตอนกลางคืนครับ

 

Pomeranian Blueprint

http://topicstock.pantip.com/jatujak/topicstock/2011/09/J11060900/J11060900.html

http://topicstock.pantip.com/jatujak/topicstock/2010/07/J9438988/J9438988.html

http://topicstock.pantip.com/jatujak/topicstock/2011/02/J10285178/J10285178.html

http://topicstock.pantip.com/jatujak/topicstock/2012/09/J12711397/J12711397.html

 

 

 

คัดลอกมาจาก กระทู้ของน้องบี เวปไทยปอมเมอเรเนี่ยนค่ะ
http://www.thaipomeranian.com/board/index.php?topic=4057.msg70166#msg70166

1. Pomeranian กับ Spitz
2. ทำความเข้าใจเรื่องสายพันธุ์ปอม
3. สีของน้องปอมฯ
4. สุนัข t-cup คืออะไร
5. Pomeranian Growth Chart
6. ประวัติสายพันธุ์ ปอมเมอเรเนียน

1. Pomeranian กับ Spitz

เห็นหลายๆคนถามว่า Pomeranian กะ Spitz นั้นต่างกันยังไง
จะดูออกได้ยังไง วันนี้ว่างๆก็เลยเอารูปมาให้ดูค่ะว่าแยกยากแค่ไหน

ความจิงแล้วสายพันธุ์ Spitz นั้นถือได้ว่าเป็นบรรพบุรุษของสุนัขหลากหลายๆพันธุ์เลยก็ว่าได้ค่ะ ถึงแม้บางพันธุ์อาจจะดูไม่เหมือน Spitz เลยก็ตาม เช่น Akita Inu, ตระกูล Husky ทั้งหลาย, Basenji, บางแก้ว, Papillon, ฯลฯ

ส่วนสุนัขที่พัฒณามาจาก Spitz แล้วยังคงมีขนที่ยาว ฟูฟ่อง นั้นก็แบ่งออกเป็นหลายพันธุ์อยู่เหมือนกันค่ะ เช่น American Eskimo Dog, Chow Chow, German Spitz, Japanese Spitz, Keeshond, Samoyed, Pomeranian, ฯลฯ

Spitz ที่หน้าตาเหมือน Pomeranian ก็คงจะมี Japanese Spitz กับ German Spitz ค่ะ…

ก่อนอื่นบอกก่อนนะค่ะว่า German Spitz ยังมีแบ่งเป็น 5 สายพันธุ์ค่ะและหนึ่งในนั้นคือ Pomeranian
(ทำให้ส่วนตัวคิดว่าน้อยนักที่จะมีการผสม ปอม กับ เยรมัน สปริสต์)

Wolfspitz (Keeshond)
Grossespitz/Großspitz (“Great / Giant Spitz”)
Mittelspitz (“Middle (Medium/Standard) Spitz”)
Kleinspitz (“Small Spitz”)
Zwergspitz (“Dwarf Spitz”, Pomeranian)

ส่วนใหญ่ที่เห็นผสม Spitz แล้วคนพูดถึงกันเยอะจะเป็นปอมขาว ซึ่งจะผสมกะ Japanese Spitz เพราะปอมขาวนั้นเป็นยีนส์ด้อยทำให้โอกาสที่จะบรีดได้ปอมสีขาวบริสุทธิ์นั้นมีน้อยมากๆ ทำให้ปอมขาวแท้ๆมีราคาสูงและหาสวยๆได้ยากมากๆ แล้วเพราะ Japanese Spitz มีสีขาวล้วนและตัวขนาดใหญ่กว่าปอมไม่มาก ทำให้มีการผสมข้ามสายพันธุ์เพื่อที่จะได้ลูกสุนัขที่หน้าตาเหมือนน้องปอมสีขาว แล้วนำมาขายราคาสูงๆแพงๆค่ะ

การจะแยกระหว่า ลูกปอม กับ ลูกJapanese Spitz ก็ทำได้ยากค่ะเพราะเด็กๆหน้าตาค่อนข้างเหมือนกัน ถ้าเอารูปมาเทียบกันก็พอจะดูออกค่ะ เพราะJapanese Spitz มีขนากตัวที่ใหญ่กว่า ใบหูใหญ่แหลมกว่า กระบอกปากใหญ่ยาวกว่า
ขนไม่ฟูเท่าปอม หางม้วนไม่พาดกลางหลัง เป็นต้น

แต่ทว่าพอเอามาผสมข้าวสายพันธุ์กันก็ยิ่งยากที่จะแยกเข้าไปใหญ่ค่ะ เพราะถ้าลูกผสมตัวนั้นได้เชื้อปอมมาเยอะก็จะเหมือนปอมมากกว่าแต่จะเหมือนปอมไต้หวันซะมากกว่า แต่ถ้าได้เชื้อสปริสต์เยอะก็จะเหมือนสปริสต์มากกว่า…..

เอาเป็นว่าใครต้องการปอมขาวก็ขอให้หาจากบรีดเดอร์ที่เชื่อถือได้นะค่ะ ควรจะต้องเห็นพ่อ แม่ พันธุ์จิงๆของลูกสุนัขด้วยค่ะ

แก้ไขเมื่อ 05 ก.ค. 53 15:36:24

 

 

2. ทำความเข้าใจเรื่องสายพันธุ์ปอม

ทำความเข้าใจเรื่องสายพันธ์กันก่อนค่ะ ว่า ที่มาของคำว่า ปอม สายเมกา มาจากไหน

เริ่มกันมาตั้งแต่สมัยสายแรกๆที่ดังๆ ชื่อว่า Hadleigh, Paddockwood (สายทางอังกฤษ) ซึ่งปอมในสมัยก่อนนั้น ขาจะค่อนข้างเล็ก ขน 2 ชั้นออกแนวขนชั้นนอก (หยาบ มากกว่า)
ซึ่งทางไต้หวัน และ ญี่ปุ่น ก็นำ สาย ฮัดเล่ย์ นี้ไปบรีดต่อ (ตอนนี้ปอมทางญี่ปุ่น ยังเป็นสไตล์เก่าอยู่)  ส่วนทาง อเมริกา กับ แคนาดา ก็นำไปพัฒนาต่อเช่นกัน แล้วพัฒนาออกมาได้ดี เป็นที่นิยม กระดูกเค้าใหญ่ขึ้น ขนชั้นในแน่นขึ้น ตัวสั้น กระชับ กระบอกปากเค้าใหญ่ขึ้น แล้วขนหน้าเยอะ ทำให้ดูเหมือน หมี เลยเรียกกันว่า ปอมหน้าหมี (Teddy face) แต่หากดูตามหลักมาตรฐานสายพันธ์ที่ถูกต้องจริงๆ ต้องหน้า Fox Face ค่ะ Fox ที่สวยคือ มองจากด้านหน้าแล้ว จากมุมหางตาทั้ง 2 ข้างมาถึงปลายจมูก เป็น 3 เหลี่ยมด้านเท่าค่ะ แต่คนส่วนใหญ่มักจะชอบ หน้าหมี เพราะมันน่ารักค่ะ ซึ่งรวมถึงเราด้วย อิอิ

สายทางแคนาดา คอกที่ดังๆ ก็มี Chriscendo (เป็นคอกที่ดังมากๆค่ะ เป็นสายที่คุณหมอโดม และคอก Tokie นำเข้ามาพัฒนาค่ะ แล้วผสมกับสายอื่นๆ บรีดกันมา พัฒนามาเรื่อยๆ จนประสบความสำเร็จ) ลองเข้าไปดูเวบเค้านะคะ http://www3.ns.sympatico.ca/chriscendo/ มีพ่อพันธ์สวยเยอะมากๆค่ะ ในเมืองไทยมีสายเลือดของสายทาง Chriscendo ค่อนข้างเยอะค่ะ
สาย Bavanew ( คุณหมอโดมนำสายนี้เข้ามา พัฒนาร่วมกับสายอื่นค่ะ ตัวที่ดังมากๆก็คือ Timmy พ่อของมะยมหยี สุดยอดพ่อพันธ์ ของปอมในเมืองไทยเลยก็ว่าได้ สายดีๆ คอกดังๆในเมืองไทย ส่วนใหญ่แล้วแทบจะมี Pak Dome’s Everytime อยู่ในสายด้วยทั้งนั้นเลยค่ะ) สาย Sunterra , Windmist, Foxworth (สายที่ทาง Powerpom นำเข้ามาค่ะ) ฯลฯ ค่ะ

สายทางเมกา จะมีเยอะมากๆค่ะ คอกที่ดังมาตั้งแต่สมัยก่อน (ถ้าได้ดูในใบ pedigree ของสายปอมรุ่นก่อนๆล่ะก้อ จะมีสาย Great Elms, Tim Sue, Millamor, Bi-Mar, Glen-Iris, Finch (ปอมสีดำ สายนี้ดังมากๆค่ะ), Starfire, ถึงปัจจุบัน คอกในเมกา มีเยอะมากๆ Star Haven, Wee Heart, Valcopy, Showcase, Jan-Shar, Lennette ฯลฯ คอกในเมืองไทย นำเข้าแชมป์ดังๆเข้ามาเยอะทีเดียวค่ะ ตอนนี้ลูกหลานปอม สวยๆไปโหม้ดดดเลย

ปอมที่ดังมากๆ เป็น Legend ของเมกา ซึ่งถ่ายทอดลูกที่ดีมากๆและให้ลูกที่เป็นแชมป์ได้เยอะ ชื่อ Am. Ch. Rock N Tradition of Oakridge ( Jake ) ค่ะ อีกตัวนึงที่ดังเช่นกัน เพราะเป็น ปอมตัวเดียวในประวัติศาสตร์ที่ชนะ Best in Show การประกวดงาน Westminster คือ Great Elm’s Prince Charming II ค่ะ ( Tokie the Legend continues – Dutchy แห่งคอก Tokie ก็เคยชนะ Best of Breed ในงาน Westminster มาแล้วค่ะ เก่งมากๆ เพราะเป็นงานใหญ่ของปีที่เมกาเลยค่ะ พร้อมกับขึ้นแท่นปอมอับดับ 5 ที่เมกาปี 2006 ด้วย)

ถ้าได้สังเกตใบ Pedigree ตัวพ่อพันธ์ที่ดังๆ จะมี ROM หรือ ROMX ต่อท้ายด้วย (คือ ให้ลูกเป็นแชมป์ได้เกิน 20-30 ตัว จำตัวเลขที่ถูกต้องไม่ได้)
ROM  ย่อมาจาก  Register of Merit    ส่วน  ROMX  ย่อมาจาก Register of Merit Exellent  ค่ะ

คอกทางอังกฤษ ที่เป็นที่รู้จัก ก็มี Toybox , Tookeyes, Melenbri, Tuttsclump  ทางอังกฤษเนี่ย ปอมจะกึ่งๆสไตล์เก่ากับแนวเมกานิดหน่อยค่ะ แต่โครงสร้างกระดูกอาจจะเล็กกว่า แต่จุดเด่นของสายทางอังกฤษเลย คือขน ค่ะ ขนถูกต้องตามมาตรฐาน (ขนหยาบดีค่ะ แน่น) ปอมหน้าหวานๆ หมีๆ ก็มีมากเช่นกัน ระยะ 3-4 ปีหลังเค้านำเข้าสายเมกามาบรีดร่วมด้วยแล้วค่ะ (ที่อังกฤษเค้าพัฒนาสายปอมช้ากว่า เพราะว่า การนำเข้าสุนัขที่อังกฤษ สุนัขจะต้องถูก quarantine ไว้ถึง 6 เดือนเลยค่ะ)

คอกทาง ฟิลิปปินส์ – Chrisden ฯลฯ (มีอีกแต่นึกไม่ออก ^^” )

คอกของไทยที่มีคุณภาพ เยอะเลยค่ะ คอก Pak Dome, Tokie, กวางทอง, พี่ฝน, Oil pom, J Star, Starlight, Powerpom, Puppy Love, Perfect pom, N&P ฯลฯ อีกมากมายค่ะ (ดึกแล้ว สมองเริ่มตัน)

เมื่อซัก 10 ปีที่แล้ว ปอมยังไม่เป็นที่รู้จักเท่าไหร่ ก็มีคุณหมอโดม นี่ล่ะค่ะ ที่บุกเบิกพัฒนาสายพันธ์ปอมขึ้นมา, อีกคอกนึงที่เก่าแก่เช่นกันก็เป็นสาย hadleigh (แต่ว่าปัจจุบันไม่ได้บรีดแล้ว)ทาง นั้มฟาร์มนำสายไต้หวัน เข้ามาค่ะ, , แล้วก้อ ดรีมทีม (จากที่เคยเห็นในโฆษณารู้สึกว่าเป็นสาย Millamor กับ Bi Marค่ะ)

ปอมเมืองไทย ตอนนี้ คุณภาพดี โด่งดังไปทั่วโลกแล้วค่ะ ทางเมืองนอกมาติดต่อขอซื้อสายของเมืองไทย ไปพัฒนาต่อกัน

ที่ใบเพดดิกรีมีการสำคัญ ก็เพราะว่า เราสามารถไล่ สายต้นตระกูล พ่อ แม่ เค้าได้ค่ะ เพื่อมาพัฒนาสายต่อ ว่าจะนำพ่อพันธ์ แม่พันธ์ สายไหน ตัวไหน มาจับเข้าคู่กันดีน่ะค่ะ
ซึ่งเวลาที่เค้าจะพัฒนาสาย เค้าจะดูที่จุดเด่น จุดด้อยของ ปอม ตัวนั้นๆค่ะ ว่า จุดเด่น ดีด้านไหน แล้วจุดด้อยตรงไหน เค้าก็จะหาปอมสายอื่นๆ,พ่อพันธ์ที่มีข้อดี หรือถ่ายทอดลูกที่ดี ที่ช่วยแก้จุดด้อย ของปอมอีกตัว และเสริมจุดเด่นเข้าไปอีกด้วย เช่น ตัวแม่พันธ์หน้าสวย แต่ตำแหน่งหางต่ำ ไหล่ต่ำ แต่ ก็นำพ่อพันธ์ ไหล่สูง หางสูงมาผสมด้วย เพื่อที่จะมีโอกาสได้ลูกที่สวยขึ้นค่ะ
การผสมพันธ์ ไม่มีสูตรตายตัว เช่น พ่อหน้าหมี แม่หน้าหมี ลูกออกมา 3 ตัว คนละสไตล์ก็มีค่ะ (อาจจะหมีซักตัวนึง) พอเห็นแบบนี้แล้ว เห็นปอมแต่ละตัวที่สวยๆในวันนี้ ทำให้รู้เลยว่ากว่าคอกที่ดังๆจะมาถึงจุดนี้ได้ ไม่ใช่ง่ายๆเลยเพราะฉะนั้น ลองดู น้องปอมของคุณ puipom ดูค่ะ ว่าเค้ามีจุดเด่น จุดด้อยอะไร เพื่อที่จะได้หาพ่อพันธ์มาผสมได้ถูกค่ะ (หรือจะเลือกตามใจชอบก็ได้ค่ะ หากเลี้ยงเล่น ไม่ได้ประกวดอะไร แต่ให้ความรู้เผื่อไว้ค่ะ)

ถ้าเป็นช่วงหลังๆมานี้ พ่อพันธ์ที่สวยๆ ก็จะมาเป็นรุ่นของ Mickey – Tokie’s Mercury  คอก Tokie (ลูกมะยมหยี และเป็นพ่อของ Dutchy) , Colt – Chriscendo Call to Arms, Parker – Pufpride Sweet Dream, แล้วก็ลูกๆหลานๆ มะยมหยี, Gable (Chriscendo Classico) ฯลฯ ค่ะ

ส่วนใหญ่ เค้าจะเรียก รวมๆเลย ว่า สายอเมริกา เพราะถ้าจะมาบอกว่า สายคอกโน้น คอกนี้ ตัวนี้ บางทีเราก็ไม่รู้จักค่ะ แล้วโดยส่วนใหญ่ ต้นสายหลักๆที่ดังๆทุกวันนี้มาจาก อเมริกาและแคนาดาค่ะ (คอกที่บอกไว้ด้านบนค่ะ)

ร่ายมาซะยาวเลย ทนอ่านหน่อยนะคะ  (อาจจะมีส่วนที่ไม่ถูกอยู่บ้าง ตกหล่นไปบ้าง ก็ต้องขออภัยด้วยค่ะ)

เขียนเผื่อไว้ เผื่อว่าจะเป็นประโยชน์ได้บ้างค่ะ

ทั้งนี้ทั้งนั้น สุดท้าย ปอมเราจะเป็นแบบไหน เราก็ตกหลุมรักเค้าอยู่ดีค่ะ

แล้วปอมยักษ์หละมาจากไหน

จริงๆแล้วเมื่อสมัยก่อนเลย ปอมมีขนาดใหญ่กว่าปัจจุบันค่ะ เพราะสืบเชื้อสายมาจาก Spitz  ถ้าดูตามสายพันธ์เลย จะมีอยู่ 5 พันธ์ค่ะ ที่มีลักษณะคล้ายๆปอมแต่ไซส์แตกต่างกันไป
เริ่มจากใหญ่สุด ที่  Keeshond คีชอนด์, Giant German Spitz, Spitz Mittel, Spitz Klein, แล้วก็มาปอมค่ะ เพราะฉะนั้นในตัวปอม ก็ยังมีเชื้อสายที่ยังใหญ่อยู่ ซึ่งเมื่อก่อน สายยังไม่ค่อยนิ่ง คือ ในบรรดาลูก ก็สามารถมีหลุด ตัวใหญ่กว่า ออกมาด้วยได้ แต่ปัจจุบันนี้ สายของคอกที่มีคุณภาพในไทย สายค่อนข้างนิ่งแล้วค่ะ

ซึ่งตรงนี้รวมไปถึง เมื่อก่อน ผู้เพาะพันธ์บางคนก็ชอบปอมตัวเมียที่ใหญ่ๆ เนื่องจากสามารถให้ลูกได้เยอะ โดยไม่ได้คำนึงมาตรฐานสายพันธ์ ก็เพาะลูกหลานออกมาขาย รวมไปถึง (คำบอกเล่า) ว่าบางทีก็นำปอมไปผสมกับสปิตซ์ เพื่อที่จะได้ลูกเยอะๆค่ะ แล้วตามคอกเล็กๆหรือบ้านทั่วไปที่เลี้ยงเล่น คงไม่ได้ใส่ใจกับเรื่องนี้เท่าไหร่ด้วย เช่น ตัวนงเอง เมื่อก่อนไม่ได้ศึกษา นงก็อยากได้ลูกของปอมที่บ้าน เพราะอยากให้มันมีลูก ไม่ได้คำนึงถึงสายเลย เพราะเราไม่ได้ประกวดอะไร พอเราเอา แม่ปอมของเราไปผสมกับพ่อพันธ์เล็กๆ ลูกที่ออกมา ก็ได้ไซส์เล็กมากว่าเดิมค่ะ บางคอกที่ประหยัดงบก็ใช้วิธีเอาสายตัวเมียที่พอใช้ได้ ผสมพ่อพันธ์ดีๆไปทีละรุ่นๆให้เล็กลงไปเรื่อยๆ แต่ยีนต์ตัวโต ยังไงก็ยังมีแฝงอยู่ในสายเลือดค่ะ แต่ไม่รู้ว่าจะไปแสดงผลที่รุ่นไหนเท่านั้นเอง

น้องปอมนี้จิงๆมีอยู่หลายสีด้วยกันนะค่ะ แต่ในเมืองไทยเราจะยังไม่ค่อยได้เห็นสีแปลกๆกันเท่าไหร่เพราะขนาดในต่างประเทศเองสีแปลกๆก็มีน้อยและที่สวยๆก็ยังหายากอยู่ค่ะ  ในเมืองที่สีที่เห็นๆกันส่วนใหญ่จะเป็น Red, Orange, Sable, Cream ซะส่วนใหญ่ สี black & tan, White, Parti เริ่มมีให้เห็นๆแต่ยังถือว่าน้อยมากๆค่ะ จิงๆนอกจากสีพวกนี้แล้วน้องปอมยังมีอีกหลายสีเลยค่ะ

ก่อนอื่นมาดูที่ลายก่อนนะค่ะ

& Tan – สีแทนหรือสีสนิม ปรากฎอยู่เหนือตาทั้งสองข้าง, กระบอกปาก, คอ, หน้าอดด้านหน้า, ขาทั้งสีขารวมถึงเท้า และ ใต้หาง คนส่วนใหญ่นิยมสีแทนเข้มๆ
Brindle – สีพื้นคือสีทอง, แดง หรือ ส้ม ซึ่งมีลายของสีดำเข้มๆ เป็นแถบหรือจุด
Parti-color(แฟนซี) – สีพื้นคือสีขาว ซึ่งมีสีอื่นๆกระจายอยู่บนตัว

ต่อไปสีค่ะ ตามไปดูรูปน้องปอมสีต่างๆ ในเวปเลยค่ะ
http://www.thaipomeranian.com/board/index.php?topic=4057.msg70166#msg70166
Red
ปอมสีแดงไม่ใช่และไม่เหมือนปอมสีส้มเข้มนะค่ะ แต่จะเหมือนสีสนิมแดงๆเข้มๆ ปอมสีนี้จะต้องสีของตา จมูก ริมฝีปาก และ เล็บเท้าสีดำค่ะ

Orange ปอมสีส้มเป็นสีที่สว่าง มีตั้งแต่สีส้มเข้มไปจนถึงส้มอ่อนค่ะ ปอมสีนี้จะต้องสีของตา จมูก ริมฝีปาก และ เล็บเท้าสีดำค่ะ   ปอมสีนี้มีเรื่อง genetic เข้ามาเกี่ยวด้วยนะค่ะ….ปรกติแล้วลูกสุนัขที่เกิดมามีขนสีดำแซม และสีขนจะส้มขึ้นเรื่อยๆ ขนสีดำน้อยลง เมื่อสุนัขโตขึ้นจนเค้ามีสีส้มสว่า
ขณะที่บางตัวเกิดมาไม่มีขนสีดำเลยซึ่งเป็นผลมาจาก Homozygous for the orange gene (บีไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้อะค่ะ อ่านก้ไม่เข้าใจ) ไอ้เจ้า homozygous gene นี้สามารถจัดลำดับสีตั้งแต่สี palest creamy-orange ถึง  darkest Irish Setter red เลยค่ะ

Cream & Cream Sable
สีนี้คือสีส้มที่อ่อนมากๆค่ะ ซีดเลยก้ว่าได้ ปอมสีนี้จะต้องสีของตา จมูก ริมฝีปาก และ เล็บเท้าสีดำค่ะ

Sable
สีนี้คือขนที่มีเชดสีตั้งแต่ 3 สีขึ้นไปค่ะ
Red Sable…สีพื้นเป็นสีแดงเข้มหรือสว่างและมีปลายสีดำ

Orange Sable…สีส้มสว่างอ่อนๆที่ขนชั้นใน ขนชั้นนอกเป็นสีส้เข้มและมีสีดำที่ปลายค่ะ

Cream Sable… สีครีมแล้วปลายสีดำค่ะ

Black
ปอมสีนี้จะต้องสีของตา จมูก ริมฝีปาก และ เล็บเท้าสีดำค่ะ น้องปอมดำจะดำตั้งแต่เกิดเมื่อผลัดขนสีจะไม่เปลี่ยนค่ะ แต่ว่าถ้าเกิดเค้าไปตากแดดนานๆสีขนจะเปลี่ยนเป็นสีดำไหม้ๆได้นะค่ะ

Brown
ปอมสีนี้จะต้องสีของตา จมูก ริมฝีปาก และ เล็บเท้าสีน้ำตาลค่ะ สีน้ำตาลเป็นได้ทั้งน้ำตาลแดง ช๊อกโกแลต น้ำตาลเข้ม น้ำตาลอ่อน หรือน้ำตาลแบบตัวบีเวอร์ก้ได้ค่ะ

Blue
คือสีเป็น Solid ออกดำสว่างๆไปจนถึงเทาเข้มแล้วส่วนใหญ่ออกเงินๆ ขนชั้นในก็จะเป็นสีเทา
แรกเกิดลูกปอมจะมีสีเงินหรือสีดำก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นสี เงินๆเทาๆที่ขนชั้นใน และออกสีน้ำเงินๆ

& tan
สีนี้จะเป็นเหมือนยอร์คเชียร์ หรือ ร๊อตไวเลอร์ค่ะ สีพื้นอาจจะเป็นสีดำ (Black & Tan) สีน้ำเงิน (Blue & Tan) หรือ สีน้ำตาล (Brown & Tan)

White
ปอมขาวจะขาวหิมะตั้งแต่แรกเกิดค่ะ ซะนั้นต้องไม่มีสีใดแซมเลยแม้แต่สีครีมค่ะ ปอมสีนี้จะต้องสีของตา จมูก ริมฝีปาก และ เล็บเท้าสีดำค่ะ

Wolf Sable
ปอมสีนี้จะมีสีเหล็กๆเทาๆและมีปลายขนสีดำ ปอมสีนี้ต้องไม่มีสี ส้ม แดง ครีม มาเป็นสีพื้นเลย และของตา จมูก ริมฝีปาก และ เล็บเท้าต้องสีดำค่ะ

Parti
หรือปอมที่เรียกกันว่าสีแฟนซี….คือจะมีพื้นสีขาวเป็นหลักแล้วมีสีอื่นแซม ส่วนใหญ่นิยมให้อยู่ที่หัว สีที่แซมจะเป็นสีอะไรก็ได้ค่ะไม่ว่าจะ red, orange, black, brown ฯลฯ

Brindle
ปอมที่มมีสีพื้นคือสีทอง, แดง หรือ ส้ม ซึ่งมีลายของสีดำเข้มๆ เป็นแถบหรือจุด
ดูแล้วเหมือนเสือหรือหมาในค่ะ ตอนเล็กๆแถบหรือจุดจะดูติดๆกันแต่เมื่อโตแล้วมันจะห่างออกจากกันค่ะ

& Tan Parti Colour (Tri-Colors)
คือปอมที่มีสี Tan และ Parti อยู่ในตัว นั้นก็คือปอมสี Parti ที่มีสี Tan แซมอยู่ที่ตาและแก้ม นั้นเอง

Merle
เป็นน้องปอมที่มีจุดตามตัว ส่วนสีพื้นก็อาจจะสีที่ได้กล่าวไว้ข้างบน เช่น Blue Merle, Red Merle, Orange Merle ฯลฯ

ความคิดเห็นที่ 6

4. สุนัข t-cup คืออะไร

What is a Teacup Dog?

สมาชิคหลายๆท่านคนสงสัยนะค่ะว่าสุนัข Teacup คืออะไร มีความเป็นมาอย่างไร มีจิงๆหรือเปล่า ฯลฯ
กระทู้นี้ก็จะขอนำเสนอเรื่องสุนัข Teacup นี้หละค่ะ….หวังว่าจะมีประโยชน์ไม่มากก้น้อยค่ะ

อย่างที่ทุกๆท่านรู้กันนะว่าปรกติแล้วสุนัขในกลุ่มทอย (Toy Dog) จะรวมสุนัขที่เป็นสายพันธุ์ที่มีขนาดเล็กจนถึงเล็กที่สุดใน
สมาคมสุนัขแห่งประเทศอเมริกา (the American Kennel Club’s registry) อยู่แล้ว
แต่ก้ยังมีบรีดเดอร์หรือผู้เพาะพันธุ์สุนัขบางท่านที่อ้างอิงว่าสุนัขของตนมีขนาดที่เล็กกว่าสุนัขในกลุ่มทอย และ เรียกสุนัขจิ๋วว่า Teacup (t-cup)
เดียวเราจะมาดูกันนะค่ะว่าไอ้เจ้า Toy Dog กับ t-cup มีความแตกต่างกันอย่างไร

สุนัขในกลุ่มทอย หรือ Toy Dog

Toy Dog นั้นเป็นสุนัขที่มีขนาดเล็กมากๆ อย่างที่เห็นๆกันทั่วไปก็จะเป็น ชิวาวา, ปอมฯ, ยอร์ค หรือ ชิสุห์
แต่ถึงแม่สุนัขพวกนี้จะมีขนาดเล็กแต่บางตัวก็ใจใหญ่อย่างกับร๊อตไวเลอร์เลยนะค่ะ
นอกจากนี้ยังมีสุนัขบางพันธุ์ที่มีหลายขนาดอย่างเช่น พูเดิ้ล ที่มีทั้งขนาด Toy, Miniature และ Standard ค่ะ

สุนัขในกลุ่มทอยส่วนใหญ่มีความเป็นสุนัขเฝ้ายามที่ดี เพราะมีความตื่นตัวอยู่ตลอดเวลากับสิ่งรอบๆตัว
ผู้เลี้ยงสุนัขบางท่านกะอาจจะไม่ชอบเพราะไม่เข้ากับบุคลิคนิสัยของท่านๆนั้นด้วย เป็นต้น
เนื่องจากสุนัขกลุ่มนี้มีขนาดเล็ก ทำให้ไม่เหมาะกับเด็กเล็กสักเท่าไหร่ เด็กอาจจะเล่นแรงๆ ถ้าน้องหมาไม่เจ็บ
เด็กก้จะเจ็บค่ะเพราะน้องหมากลุ่มนี้มีความอดทนไม่เท่ากัยสุนัขสายพันธุ์ใหญ่ๆอย่าง โกลเด้น หรือ ลาบาดอร์
สุนัขกลุ่มนี้เป็นที่รักของหลายๆคนก้เพราะความฉลาดติดคนและขี้อ้อนค่ะ สุนัขทอยขึ้นชื่อว่าฉลาดแต่จะฝึกได้ยากง่ายเพียงใดนั้นก็ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ของสุนัขที่จะเลี้ยงค่ะ
บางพันธุ์ก้ฝึกยากต้องใช้เวลา และที่สำคัญที่สุดก้คือตัวผู้เลี้ยงเองค่ะ

ความจริงเกี่ยวกับสุนัข  t-cup

ในความเป็นจิงแล้วก็คือมันไม่มีหรอกค่ะไอ้เจ้าสุนัข t-cup หรือ สายพันธุ์ t-cup
สุนัข t-cup ที่คนส่วนใหญ่พูดถึงนั้นมีจะเป็นสุนัขที่มีน้ำหนัก 2 ถึง 4 ปอนด์ (0.9 – 1.8 kg.)

คำว่า t-cup ที่เราได้ยินกันนั้นปรกติแล้วใช้บรรยายขนาดของ “ลูกสุนัข” ค่ะ ก็ลูกสุนัขพันธุ์ทอยเล็กๆก็ตัวเล็กใส่แก้วได้ก็เลยเป็น t-cup
และส่วนที่โตมามีขนาดเล็กเกินมาตรฐานเองก็เป็นเพราะยีนส์ในร่างกายที่ผิดบกพร่อง ไม่ใช่เพราะการบีบอาหารหรือการเพาะพันธุ์เพื่อให้ตัวเล็กแต่อย่างใดค่ะ
พวกนี้จะผิดมาตรฐานไม่สามาตรเข้าประกวดได้ และไม่ควรนำมาสืบพันธุ์ต่อโดยเฉพาะตัวเมียเพราะอันตรายต่อชีวิตแม่และลูกสุนั้ขค่ะ

มาตรฐานของสุนัขในกลุ่มทอยนั้นอยู่ที่ 4 ถึง 7 ปอนด์ (1.8 – 3.1 kg.) แล้วสุนัขที่มีขนาดเล็กกว่านี้สามารถเสี่ยงต่อชีวิตน้องหมาเองและคนที่ต้องการซื้อด้วยค่ะ
ก็เพราะพวกที่มีขนาดเล็กเกินกว่ามาตรฐานที่วางไว้นั้นจะบอบบางมาก  กระดูกแข้งขาแตกหักง่ายเพียงกระโดดลงจากโซฟาหรือโต๊ะนิดเดียวเท่านั้น
ลองดูจากน้องปอมของพวกเราที่มีขนาดมาตรฐานกระโดดหรือตกโต๊ะ โซฟา บันได นิดเดียวก็สะบ้าหลุด ดีไม่ดีบางตัวก็ขาหักซะแล้ว

อย่างไรก็ตามยังมีบรีดเดอร์หรือผู้เพาะพันธุ์หลายๆคนนะค่ะที่พยายามจะขายลูกสุนัขที่มีขนาดเล็กเพื่อจะได้อัพราคาลูกสุนัขให้สูงขึ้น
โดยบอกว่าเป็น t-cup แล้วยังอ้างว่าเป็นสายพันธุ์ของมันเอง ซึ่งจิงๆแล้วมันไม่จริงค่ะเพราะสุนัข t-cup นั้นไม่ใช้สายพันธุ์ของมันเอง
t-cup ที่เราเห็นๆก็คือนสุนัขสายพันธุ์ทอยที่มีขนาดเล็กกว่าปรกตินั้นเอง ซึ่งก็มันเกิดจากความบังเอิญซะมากกว่า
ที่แย่กว่านั้นก็คือบางคนเอาลูกสุนัขที่อายุไม่ถึงตามที่ประกาศมาขายแล้วบอกว่าเป็น t-cup ค่ะ อันนี้เห็นบ่อยส่วนใหญ่เป็นพวกยอร์คเชียร์ค่ะ

ข้อมูลจิงๆของสุนัข  t-cup ก็คือเมือเราเอาสุนัขที่มีขนาดเล็กและสุนัขที่เล็กกว่ามาผสมกัน ผลก้คือเราจะได้ลูกสุนัขที่มีขนาดเล็กมากๆค่ะ
แต่จะเป็นสุนัขที่น่าสงสารเพราะจะมีปัญหาสุขภาพเยอะมากๆเช่น สุขภาพร่างกาย, สุขภาพฟัน, หัวใจล้มเหลว, ขาดน้ำตาลในเส้นเลือด และนี้ก็คือปัญหาเบื้องต้นเท่านั้นนะค่ะ

“The smaller the dog the more chances it has of not living a long and healthy life like it should”
ยิ่งสุนัขมีขนาดเล็กมากเท่าไรก็มีโอกาสเสี่ยงที่จะไม่มีชีวิตยืนนานและมีสุขภาพแข็งอย่างที่ควรจะเป็นเท่านั้นค่ะ

สรุปก็คือเราไม่สามารถเปรียบเทียบ Toy Dog กับ t-cup ได้ก็เพราะสุนัข t-cup นั้นไม่ใช้สายพันธุ์ของมันเอง
ยังไม่เคยมีใครเห็นน้องหมา t-cup ที่เป๋ญสายพันธุ์ของตัวมันเอง มีแต่พัยธุ์ทอยที่มีขนาดเล็กเท่านั้นที่เอามาบอกว่าเป็น t-cup

ที่มาเขียนเรื่องนี้ไม่ใช่ไม่ชอบสุนัข t-cup หรืออะไรนะค่ะแต่เนื่องจากเห็นคนส่วนใหญ่จะชอบกันมากยิ่งเล็กยิ่งดีก็ว่าได้ ไม่อยากให้สมาชิคทุกท่านมีความเชื่อผิดๆค่ะ
ส่วนตัวคิดว่าเด็กๆ t-cup น่าสงสารเพราะเค้าไม่สบายง่าย ต้องได้รับการดูแลอย่างดีและถูกต้องค่ะ ฉะนั้นใครอยากได้สุนัข t-cup
ลองคิดทบทวนดูดีๆนะค่ะว่าเราจะสามารถดูแลและรับมือได้หรือเปล่า

5. Pomeranian Growth Chart

น้องปอมของเราจะตัวโตขนาดไหน?  น้องปอมจะโตแค่ไหน? คำถามเหล่านี้จะเห็นกันบ่อยๆกับเจ้าของน้องปอมมือใหม่นะค่ะ
วันนี้เลยขอเอา Chart ของการเจริญเติมโตในน้องปอมมาฝากกันจ๊า

ก่อนอื่นมาทำความเข้าใจกันก่อนนะค่ะว่าขนาดของน้องปอมที่โตเต็มที่แล้วขึ้นอยู่กับอะไรบ้าง

1. ขนาดของพ่อและแม่ของลูกสุนัข (อย่างไรก็ตามอาจจะมีการ Skip generation แม่จะไม่ได้มีการเกิดขึ้นบ่อยๆ แต่น้องปอมสามารถรับยีนส์ของบรรพบุรุษและมีน้ำหนักถึง 18-19 ปอด์น หรือ 8-9 กิโลกรัม)

2. ระดับการออกกำลังหรือทำกิจกรรมของน้องปอมไม่ว่าจะ เดิน วิ่ง เล่น ฯลฯ

3. อาหารหรือโภชนาการที่น้องปอมได้รับ (จำไว้ว่าน้องปอมที่ได้รับอาหารที่ไม่เพียงพอจะมีปัญหาสุขภาพเยอะและลูกสุนัขปอมควรได้รับอาหารสุนัขที่ดีที่สุดเสมอ)

แต่ถึงแม้ว่าเราจะมี Chart นี้แต่เราก็ยังไม่สามารถบอกขนาดที่ถูกต้องได้นะค่ะว่าโตมาจะมีน้ำหนักเท่าไหร่ อันนี้จะแค่ประมาณเอาเฉยๆ
ส่วนการคำนวนน้ำหนักน้องปอมทำได้โดยการใช้อายุของสุนัขและน้ำหนักในปัจจุบันค่ะ

ต่อไปมาดูการคำนวนและใช้ Growth Chart นะค่ะ…

ตัวเลขทั้งหมดใน Chartจะใช่เป็น ออนซ์ (Ounces) นะค่ะ ยกเว้นน้ำหนักของสุนัขโต (ด้านล่างสุดของ Chart) ที่จะใช้เป็นปอด์น (Ponds)

วีธีเปลี่ยนน้ำหนักจาก ponds เป็น ounces นะค่ะ….จำไว้ว่า 16 ounces = 1 pound
เวลาพวกเราคำนวนใช้ Weight Converter ก็ได้ค่ะเป็น ก็คิดจาก kg. เป็น  Ounces ไปเลย
(http://www.exrx.net/Calculators/WeightConverter.html )

ฉะนั้น….
ถ้าน้องปอมน้ำหนัก 3.3 ponds สูตรที่ใช้จะเป็น 16 x 3 (มาจาก 3 ponds) + 3 (มาจาก .3 ponds) = 51 Ounces

อีกตัวอย่างนึงก็คือ ถ้าน้องปอมน้ำหนัก 2.5 ponds สูตรที่ใช้จะเป็น 16 x 2 + 5 = 37 ounces

6.  ประวัติสายพันธุ์ ปอมเมอเรเนียน

ปอมเมอเรเนียนสืบเชื้อสายมาจากสุนัขลากเลื่อนแถบไอซ์แลนด์และแลปแลนด์  อาจจะสงสัยว่าเป็นสุนัขลากเลื่อนแต่ทำไมตัวกะจึ๋งเดียว อาจเป็นเพราะว่าได้มีการพัฒนาสายพันธุ์ให้กลายเป็นสุนัขขนาดเล็กเพื่อเลี้ยงเอาไว้เป็นเพื่อน มากกว่าจะเอาไว้ใช้งาน  เพราะจริง ๆแล้วปอมเมอเรเนียนตัวใหญ่ ๆ สามารถใช้เป็นสุนัขเฝ้าฝูงแกะยังได้  แถมยังมีหลักฐานว่าตอนแรก ๆ ที่มาถึงอังกฤษ(ราวกลางศตวรรษที่๑๙) พ่อพันธุ์แม่พันธุ์บางตัวหนักถึง ๓๐ ปอนด์  แลดูคล้าย German wolf spitz ทั้งขนาด  ลักษณะขน รวมทั้งสีขนด้วย
เดิมคนทั่วไปไม่ค่อยรู้จักปอมเมอเรเนียนกันนัก จนกระทั่งปีค.ศ.๑๘๗๐ Kennel Club แห่งอังกฤษได้เปิดตัวแนะนำสุนัขพันธุ์นี้ และยิ่งดังใหญ่เมื่อปีค.ศ.๑๘๘๘ ควีนวิคตอเรียแห่งอังกฤษเกิดไปตกหลุมรักมันเข้าที่ยุโรป ถึงกับพากลับมาที่อังกฤษด้วย ในสมัยนั้นสาว ๆ มักเลียนแบบแฟชั่นและกิจกรรมจากราชสำนัก การเลี้ยงปอมเมอเรเนียนจึงแพร่ขยายออกไปอย่างกว้างขวาง  มีเรื่องเล่ากันว่าควีนวิคตอเรียทรงโปรดสุนัขพันธุ์นี้มาก แม้กระทั่งวันที่สิ้นพระชนม์ยังทรงมีพระราชเสาวนีย์ให้เอาเจ้า Turi สุนัขปอมเมอเรเนียนตัวโปรดมาไว้ข้างพระแท่นบรรทม  และเจ้า Turi นี้ก็ได้นอนเฝ้าอยู่จนควีนสิ้นพระชนม์  นอกจากนี้พระองค์ยังได้รับการยกย่องว่าทรงเป็นผู้ที่ทำให้สาธารณชนรู้จักและนิยมเลี้ยงปอมเมอเรเนียนตัวเล็ก
สำหรับในอเมริกา สุนัขพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ถูกนำมาโชว์ครั้งแรกในปีค.ศ.๑๘๙๒ แต่ยังไม่ได้รับการกำหนดชัดเจนว่าจะให้อยู่ในกลุ่มสุนัขชนิดไหน จนกระทั้งปี ค.ศ.๑๙๐๐ จึงได้มีการกำหนดกันที่นิวยอร์ค และในปีค.ศ.๑๙๑๑ ก็มีงานโชว์สุนัขพันธุ์นี้เป็นครั้งแรกโดย American Pomeranian Club
ในช่วงแรก ๆ ปอมเมอเรเนียนที่ชนะการประกวด ส่วนใหญ่จะกระดูกหนา หูใหญ่ และน้ำหนักต่ำกว่า ๖ ปอนด์โดยประมาณ ขนให้สัมผัสที่ดีแต่ไม่ฟูมากเท่าปัจจุบัน
ปอมเมอเรเนียนที่ได้มาตรฐานตามกำหนดในปัจจุบันจะต้องมีขนาดเล็ก (น้ำหนักประมาณ 4-7 ปอนด์) ผู้ที่พัฒนาสายพันธุ์จนมีขนาดเล็กลงได้อย่างนี้คือนักผสมพันธุ์สุนัขชาวอเมริกา  จึงไม่น่าแปลกใจที่ปอมเมอเรเนียนสายพันธุ์จากอเมริกาได้รับการยอมรับให้เป็น The best เกียรติประวัติครั้งสำคัญคือเมื่อ Ch. Pall Mall His Majesty นำปอมเมอเรเนียนสายพันธุ์จากอเมริกาเข้าประกวดที่ยุโรป ก็ได้รับรางวัล Best in Show มาหลายต่อหลายครั้ง นอกจากนี้ยังคว้ารางวัลเกียรติยศสูงสุดจากการประกวดกับสุนัขทุกสายพันธุ์รวมกันทั้งหมดอีกด้วย  ด้วยความที่ตัวเล็ก  เชื่อง หากแต่ร่าเริงและแข็งแรง ทำให้ปอมเมอเรเนียนเป็นสุนัขที่นิยมเลี้ยงกันไว้เป็นเพื่อนคู่ใจไปทั่วโลก

มาตรฐานสายพันธุ์ปอเมอเรเนียน
ลักษณะทั่วไป เป็นสุนัขขนาดเล็กกะทัดรัด หลังสั้น มีขนสองชั้น  ขนชั้นในจะนุ่มหนา ส่วนขนชั้นนอกจะหนา ยาว และค่อนข้างฟู ให้สัมผัสหยาบกว่าขนชั้นในเล็กน้อย  หางก็มีขนยาวหนาเช่นกัน โคนหางตั้งอยู่สูงและทอดยาวย้อนมาบนหลัง  ปอเมอเรเนียนเป็นสุนัขที่มีท่าทางกระตือรือร้น เคลื่อนไหวคล่องแคล่ว กระฉับกระเฉง แสดงออกถึงความเฉลียวฉลาดและมักมีนิสัยอยากรู้อยากเห็น  แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อเคลื่อนไหวจะดูเอาจริงเอาจัง มีอำนาจ และแข็งแรงมั่นคง

ขนาด สัดส่วนและโครงร่าง โดยเฉลี่ยจะหนักประมาณ 3-7 ปอนด์ แต่ถ้าใช้ในงานโชว์ก็มักจะอยู่ที่ 4-6 ปอนด์   ในการประกวดนั้นถ้าสุนัขตัวใดมีน้ำหนักสูงหรือต่ำกว่านี้ต้องตกรอบทันที  แต่กระนั้นก็ควรพิจารณาคุณลักษณะโดยรวมเป็นสำคัญมากกว่าขนาดของสุนัข
ในแง่ของสัดส่วน ถ้าเปรียบเทียบความยาวจากไหล่ถึงบั้นท้าย ต้องสั้นกว่าความยาวจากจุดสูงสุดของไหล่ถึงพื้นเล็กน้อย  ส่วนความยาวจากอกถึงพื้นต้องยาวเป็นครึ่งหนึ่งของระยะจากจุดสูงสุดของไหล่ถึงพื้น
ปอเมอเรเนียนมีโครงร่างไม่เล็กไม่ใหญ่  ขาทั้งสี่ก็ไม่สั้นหรือยาวเกินไปจนทำให้โครงร่างดูเสียสมดุล  ในการแข่งขันถ้ากรรมการเข้าตรวจ สุนัขต้องรู้สึกสงบ มั่นคง

หัว หัวต้องได้สัดส่วนสมดุลกับลำตัว  ช่วงปากและจมูก (muzzle) ค่อนข้างสั้นและตรง ดูสวยงาม ริมฝีปากไม่ห้อยย้อย  จมูกไม่แหลมชี้จนดูไม่มีมิติ ลักษณะของหัวทำให้ดูรู้สึกว่าเป็นสุนัขที่กระตือรือร้น หรืออาจเทียบเคียงได้กับสุนัขจิ้งจอกเลยทีเดียว
กะโหลกปิด  ส่วนบนค่อนข้างกลมแต่ไม่ถึงกับโค้งเป็นรูปโดม  เมื่อมองจากด้านหน้าและด้านข้างจะเห็นหูเล็กๆ ซึ่งตั้งอยู่สูงและตั้งชันอยู่เสมอ  ถ้ามองจากปลายจมูกขึ้นไปยังดวงตาจนถึงปลายหูทั้งสองจะต้องเห็นเป็นแนวรูปตัว V
ตาสีเข้ม เป็นประกาย ดวงตาเป็นรูปอัลมอนด์ ขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่จนเกินไป
สุนัขพันธุ์นี้ต้องมีจมูกและขอบตาสีดำ  ส่วนขนอาจเป็นสีน้ำตาล น้ำเงิน หรือสีผสมระหว่างขาว เทา น้ำตาล และดำ (เรียกว่า Beaver)
ฟันบนครอบฟันล่างสนิทพอดี โดยที่ฟันบนไม่ยื่นเหยินออกไป  ถ้ามีฟันเกสักหนึ่งซี่ก็ไม่เป็นไร
ข้อบกพร่องสำคัญ กะโหลกกลมเป็นรูปโดม  ฟันบนหรือฟันล่างเหยินออกจนฟันทั้งสองแถวสบกันไม่สนิท
คอ แนวสันหลังและลำตัว
คอสั้น แต่ตั้งอยู่บนไหล่ในตำแหน่งที่เหมาะสม พอจะทำให้สามารถยกหัวขึ้นตั้งสูงได้อย่างสง่างาม
หลังสั้น เส้นแนวหลังตรง
ลำตัวขนาดกะทัดรัด  ซี่โครงกางออกพอดีโดยมี  พื้นอกยาวมาจดข้อศอก
หางของปอเมอเรนียนเป็นลักษณะเด่นเฉพาะของสายพันธุ์นี้  หางต้องวางแนบตรงอยู่กับแนวหลัง

ลำตัวส่วนหน้า
ไหล่และขามีกล้ามเนื้อแข็งแรงพอสมควร โดยเฉพาะไหล่นั้นต้องแข็งแรงพอที่สุนัขจะตั้งหัวเชิดสูงได้ กระดูกไหล่กับขาท่อนบนยาวเท่ากัน  ขาหน้าตรงและขนานกัน วัดความยาวจากจุดสูงสุดของไหล่ถึงข้อศอกจะยาวเท่ากับข้อศอกจดพื้น  ข้อเท้าตรงและแข็งแรง
เท้าโค้ง มีขนาดกะทัดรัด  ไม่หุบเข้าหรือกางออก ยืนได้อย่างมั่นคง  นิ้วติ่งอาจตัดทิ้งได้
ข้อบกพร่องสำคัญ  ข้อเท้าห้อย ไม่แข็งแรง

การย่างก้าว เดินได้อย่างเป็นอิสระ ไม่สะดุดขัด  ได้สมดุลและสง่างาม  ขาหน้าก้าวเหยียดออกไปได้สุดในขณะที่ขาหลังก็มีแรงส่งผลักให้ลำตัวเคลื่อนไปข้างหน้าได้เต็มที่  ขาหลังก้าวไปในแนวเดียวกันกับขาหน้าแต่ละข้าง  ในการทรงตัวเมื่อเคลื่อนไหว สุนัขจะก้าวขาเข้ามาใต้ลำตัว  ขณะเดินหรือวิ่งแนวสันหลังต้องยังคงเป็นเส้นตรง รูปร่างไม่บิดเบี้ยวและเคลื่อนไหวอย่างได้สมดุลดี

ลำตัวส่วนหลัง ลำตัวส่วนหลังได้สมดุลกับลำตัวส่วนหน้า โคนขามีกล้ามเนื้อแข็งแรงแต่ไม่หนาหนัก  เข่างอพอสมควรและเห็นแนวเข่าได้ชัด ข้อศอกขาหลังตั้งฉากกับพื้น  ขาทั้งสองตรงและขนานกัน  เท้าหลังมีลักษณะเหมือนเท้าหน้าดังที่ได้กล่าวไปแล้ว  นิ้วติ่งอาจตัดทิ้งได้เช่นกัน
ข้อบกพร่องสำคัญ ขาหลังโก่ง, ขาหรือข้อศอกหลังไม่แข็งแรง

ขน ลักษณะพิเศษของปอเมอเรเนียนคือมีขนสองชั้น  ขนชั้นในอ่อนนุ่ม หนา  ขนชั้นนอกยาว ตรง มันวาวแต่ให้สัมผัสหยาบ เนื่องจากขนชั้นในหนามากจึงทำให้ขนชั้นนอกไม่ลู่แนบติดกับลำตัว จึงดูเป็นขนที่ยาวและฟู  ขนที่ลำตัวส่วนหน้าจะยาวลงมาจากคอ ไหล่ และอก  ขนที่หัวและขาจะสั้นกว่า  ขนที่ลำตัวส่วนหลังจะยาวไปจนถึงข้อศอกขาหลัง  หางก็มีขนตรง ยาว หยาบและหนาเช่นกัน  การเล็มขนเพื่อความสะอาดและแลดูเป็นระเบียบสามารถทำได้
ข้อบกพร่องสำคัญ ขนชั้นนอกนุ่ม ลีบ ขนบางหรือร่วงจนมองเห็นผิวหนังได้

สี ปอเมอเรเนียนจะมีรูปแบบของสีตามลำตัวต่างกันไป แต่ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบไหนก็ต้องได้รับการพิจารณาตัดสินอย่างเท่าเทียมกัน  รูปแบบของสีจะมีดังนี้
Black and Tan  : เห็นเป็นสีแทนหรือสีสนิมอย่างชัดเจน  สีนี้จะอยู่เหนือตา, ปาก, คอ, หน้าอก, ขาและเท้าทั้งสี่ และใต้หาง  นิยมกันว่าสีแทนนั้นยิ่งเข้มยิ่งดี
Brindle  : สีหลักคือสีทอง สีแดง หรือสีส้มที่มีแถบลายสีดำเข้ม
Parti-color :  สีขาวผสมกับแถบสีอะไรก็ได้ มักนิยมให้อยู่บนหัว
ในการประกวด ถ้ามีการแบ่งกลุ่มมักจะจัดกลุ่มตามสีดังนี้
Open Red, Orange, Cream, and Sable
Open Black, Brown and Blue
Open Any Other Color, สีตามรูปแบบดังที่กล่าวข้างต้น หรือสีอื่นๆ

นิสัยและอารมณ์   ปอเมอเรเนียนไม่ใช่สุนัขประเภทเก็บเนื้อเก็บตัว หากแต่ชอบแสดงออก ฉลาดเฉลียว ร่าเริง ทำให้เหมาะที่จะเลี้ยงไว้เป็นเพื่อนหรือจะเลี้ยงไว้ประกวดก็ได้
ในการประกวด สุนัขจะต้องมีลักษณะดังที่กล่าวมาข้างต้นทุกประการ หากมีลักษณะใดผิดไปจากกำหนดจะต้องถูกหักคะแนนตามความเหมาะสม

ขอบคุณข้อมูลจาก เวป thaipomeranian ค่ะ
ขอบคุณน้องบี ที่รวบรวมข้อมูลดีๆ
ปล เด็กๆ ตระกูลออมส่วนใหญ่เป็นสี Sable นะคะ มีหลายคนเคยถามเหมือนกันว่าปอมสีนี้ปกติหรือป่าว อิอิ

 

 

 

 

 

Starlight Pomeranian

 

Toki Pom

(Facebook Fanpage : https://www.facebook.com/Tokie-Pomeranians-129767241802/?hc_ref=PAGES_TIMELINE)

http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?newsid=9520000126091

 

 

Dreamteam kennel

 

nun pomeranian kennel

 

 

ตัดขนปอมปอมให้ถูกวิธี

ตัดปอมๆให้เป็นสุภาพบุรุษ

ปอมปอมปอมปอม

ประกวดหมาที่อเมริกา